ตาเป็นแบบนี้เกิดจากอะไร?

อวัยวะที่เปราะบาง แต่สำคัญมากๆ อย่างดวงตา เพราะดวงตาก็เหมือนความรัก ตอนมีไม่รักษาไว้ ตอนไปก็ยื้อแทบไม่ทัน กว่าจะรู้ได้ว่าตาเราเปลี่ยนไปแค่ไหนก็อาจสายเกินแก้

สาเหตุก็มาจากการใช้สายตาที่หักโหมเกินไป พักผ่อนไม่เพียงพอทำตาล้า และยังขาดการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกก็ยิ่งทำให้ดวงตาเราแย่เข้าไปใหญ่ ซึ่งก็ประกอบไปด้วย

  1. ตาล้า

ทำงานมทั้งวัน เหนื่อยล้ากายใจ ดวงตาก็เช่นกัน เพราะเกิดจากการจ้องหน้าจอนานๆ แบบ Non-stop โดยไม่พักเลย ทำให้คันตา แสบตา ปวดตา กระบอกตา หรือรอบๆ ดวงตา ตาเบลอ มองอะไรไม่ชัด ไวต่อแสงมาก เห็นภาพซ้อนกันไปหมด บางครั้งมีอาการตาแห้งร่วมด้วย

แนะนำให้เพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาด้วยน้ำตาเทียม ประคบเย็นช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อตา หลับตาบ้าง หรือหันไปมองอะไรอย่างอื่นถือเป็นการพักสายตาไปในตัว ทานผัก ผลไม้สีเหลือง ส้ม เขียวที่มีวิตามันเออยู่มาก เช่น แครอท ฟักทอง ข้าวโพด คะน้า พริกหยวก มะละกอ มะม่วง แคนตาลูป เป็นต้น

  1. ตาแห้ง

เกิดจากการตากแดด ตากลม ความชื้นในตาจึงระเหยออกไปเยอะ การจ้องหน้าจอนานๆ ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ตาไม่ค่อยกะพริบ น้ำตาจึงถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาน้อย หรืออาจเกิดจากการใช้ยาบางประเภท ความผิดปกติของเปลือกตา เช่น ตาปิดไม่สนิทตอนนอน ตากะพริบน้อยผิดปกติ หรือต่อมไขมันเปลือกตาอุดตัน เป็นต้น

อาการที่เห็นได้ชัดเจนคือ รู้สึกเคืองๆ ตา ไม่สบายตา เหมือนมีอะไรอยู่ข้างใน แสบตา ตาล้าง่าย ตาแดง สู้แสงไม่ได้ (แบบนี้จะทำให้น้ำตาไหลออกมามาก เพราะเคืองตาจากการโดนแดด บางคนอาจเข้าใจอาการในจุดนี้ผิดได้) มองเห็นมัวๆ ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ลิมตายาก รู้สึกฝืดๆ โดยเฉพาะในตอนเช้า

ดังนั้นคนที่ตาแห้งควรจะปรับพฤติกรรม และสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เลี่ยงการเป่าไดร์เข้าตา พักสายตาจากหน้าจอคอมบ้าง กะพริบตาบ่อยๆ หยอดน้ำตาเทียม ประคบอุ่นลดการอุดตันของต่อมไขมันเปลือกตา

  1. ตากระตุก

กระตุกข้างซ้ายเขาว่าโชคดี กระตุกข้างขวาเขาว่าโชคร้าย แต่กระตุกบ่อยเกินก็น่ากลัวอยู่ เพราะอาจมีสาเหตุจากเจอแสงจ้าบ่อยๆ นอนไม่พอ ความเครียดสะสม ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มากไป ขาดวิตามิน/แร่ธาตุบางชนิด หรือเป็นภูมิแพ้

อาการคือเปลือกตาขยับอย่างรวดเร็ว อาจเกิดเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เรารำคาญได้ เจอได้ทั้งเปลือกตาบนและล่าง ทั่วไปอาการจะไม่รุนแรง ไม่ทำให้บาดเจ็บ หายเองได้ในเวลาสั้นๆ แต่บางคนก็อาจร้ายแรงและหยุดเองไม่ได้ (สัญญาณเสี่ยงโรคอันตราย) แบบนี้ควรไปปรึกษาหมอนะค้าบ

แก้อาการตากระตุกได้โดย นอนให้เยอะๆ ไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง ประคบร้อน/อุ่นที่ตาประมาณ 10 นาที ลดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้ตาได้พักบ้างพร้อมกับนวดๆ รอบดวงตาไปด้วย พยายามออกไปหาอะไรทำช่วยลดความเครียด

  1. ตาบวม

นอกจากซีรี่ดราม่าจะทำตาบวมจากการร้องไห้ได้แล้ว ตาบวมยังเกิดได้จากสาเหตุอื่นอีก เช่น การกินอาหารที่มีโซเดียมมากเกินไป ตาจึงบวมน้ำ หรือเกิดจากภาวะภูมิแพ้ขึ้นตาที่เป็นการอักเสบของเยื่อบุตาต่อสิ่งเร้าภายนอก ได่แก่ ฝุ่น ไร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้เป็นต้น (ซึ่งภูมิแพ้ขึ้นตาเราจะมา เจาะรายละเอียดอีกทีในบทความนี้แหละ)

ลดอาการตาบวมด้วยการเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ใช้เครื่องกรองอากาศ ลดไรฝุ่น ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม หยอดน้ำตาเทียมชนิด preservative ล้างตาด้วยน้ำเกลือเมื่อสัมผัสโดนสิ่งกระตุ้น หยอดยาแก้แพ้/ยาแก้อักเสบ (**ควรปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนซื้อยามาหยอดเองนะค้าบ)

พูดถึงเรื่องของเปลือกตากันไปแล้ว วกกลับมาที่เรื่องของ “ลูกตา” กันบ้าง เพราะส่วนนี้แหละที่สำคัญสุดๆ ไปเลย แต่ลุงโจนส์ของหยิบยกประเด็นที่ยังไม่ได้ถูกพูดถึงในหัวข้อที่แล้วมานะครับ (จะได้ไม่ต้องอ่านซ้ำเนอะ)

  1. ตาแตก (เส้นเลือดฝอยในตาแตก)

ตาแตกที่ไม่ใช่เพลงของมิลลิ แต่เป็นตาแตกที่เกิดในตาเราจริงๆ เกิดจากเส้นเลือดฝอยในตาเราแตก สังเกตได้เวลาเราส่องกระจกจะเห็นปื้นเลือดแดงๆ อยู่เหนือตาขาว เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น เบ่ง ไอ จาม ความดันในร่างกายสูงกะทันหัน การแข็งตัวเลือดผิดปกติ ผู้ป่วยความดัน หรือผู้ป่วยที่ทานยาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด แม้แต่การขยี้ตาแรงๆ แปปเดียวก็เส้นเลือดแตกได้

ปกติอาการนี้จะหายได้เองใน 1 – 2 สัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหยอด ถ้าเคืองตานิดหน่อยก็ใช้น้ำตาเทียมหยอดได้ แต่ในคนที่อาการหนักจริงๆ หรือมีเส้นเลือดฝอยแตกซ้ำกันหลายครั้ง แบบนี้แนะนำให้มาหาหมอ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงนะครับ

  1. เยื่อบุตาอักเสบ

หัวข้อนี้แตกแขนงได้อีก 2 สาเหตุ 

  • อันแรกคือเยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรีย (บางชนิด) เชื้อติดต่อได้ง่ายมากจากการใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ และเกิดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่
  • ถัดมาคือเยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากเชื้อไวรัส มักระบาดตามฤดูฝน หรือช่วงที่น้ำท่วมก็จะเจอบ่อย แต่ก็พบได้ประปรายตลอดปีเช่นกัน การติดต่อสามารถติดกันได้จากการใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ คนในบ้านเดียวกัน หรือชุมชนเดียวกันก็ติดได้

แต่อย่างไรก็ตามอาการของทั้งสองเชื้อก็แสดงออกมาเหมือนกันทั้งคู่ คือ ตาแดง แสบตา เคืองตา ตาบวม ขี้ตาเยอะ

การรักษาเบื้องต้น

  • ถ้าเรียนหรือทำงานอยู่ให้ลาหยุดซัก 1 สัปดาห์ 
  • ห้ามขยี้ตาเพราะจะทำให้ตาเคืองมากขึ้น  
  • ประคบเย็นวันละ 3 – 4 ครั้ง ครั้งละ 10 – 15 นาที (อย่าเอาอุปกรณ์ประคบเย็นไปสัมผัสคนอื่นนะครับ เดี๋ยวจะแพร่เชื้อเอา) 
  • ถ้าน้ำตาไหลให้เอาผ้าซับแล้วนำไปซักให้สะอาด 
  • หมั่นทำความสะอาดโดยใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกเช็ดเปลือกตา พยายามเอาขี้ตาออกให้ได้ 
  • ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ ถ้าตาสู้แสงไม่ได้ลองใส่แว่นกันแดดดูนะครับ

ทั้งนี้ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นอีกใน 1 สัปดาห์ ควรไปหาหมอเพื่อรักษานะครับ

  1. ภูมิแพ้ขึ้นตา (ตาบวม)

สาเหตุหลายคนก็น่าจะพอเดาได้ เพราะเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้ ตาเราระคายเคืองและบวมขึ้นมา แต่จะเกิดจากสาเหตุอะไรก็ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนว่าอ่อนไหวต่อสารก่อภูมิแพ้แบบไหน มีตั้งแต่ ไรฝุ่น ขนสัตว์ เชื้อรา และกลิ่นสารเคมี เป็นต้น

อาการภูมิแพ้ขึ้นตาสังเกตแบบไวๆ เลยเราจะเห็น ตาแดงขึ้น ตาขาวออกชมพูๆ ตาช้ำแฉะ ไวต่อแสงสู้แสงไม่ค่อยได้ คันหรือเคืองตา เปลือกตาบวมขึ้นจนสังเกตได้ อาการจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและอาจเกิดได้พร้อมกันทั้งสองข้าง

วิธีบรรเทาอาการด้วยตัวเองเบื้องต้น

  • ฝืนใจไว้ ไม่เอามือไปขยี้ตา หรือสัมผัสตา ลดการอักเสบและความคัน ถ้าเคืองจนไม่ไหวให้ใช้น้ำตาเทียม/ยาหยอดตาชนิดต้านภูมิแพ้
  • ประคบเย็นที่ตา ลดการอักเสบ
  • ปกติจะอาการดีขึ้นภายใน 3 – 4 วัน และกินเวลานาน 2 – 3 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรให้จักษุแพทย์วินิจฉัยเพิ่มเติมครับ